แค ชื่อสามัญ Vegetable Humming Bird , Cork Wood Tree เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “แคบ้าน” อีกทั้งยังมีแคฝรั่ง ซึ่งเป็นไม้ดอกไม้ประดับ แคเป็นต้นไม้โบราณที่อยู่คู่ครัวของทุกท้องถิ่น แต่ละครัวมีวิธีการปรุงอาหารจากส่วนต่างๆ ของแคแตกต่างกันออกไป แต่อาหารที่รู้จักคุ้นเคยกันอย่างดีทุกครัวเรือน คือ “แกงส้มดอกแค”
ชื่อวิทยาศาสตร์ของแค คือ Sesbania grandiflora (L.) Pers. วงศ์ PaPilionaceae เป็นต้นไม้พื้นเมืองของ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ประเภทไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 3-10 เมตร โตเร็วทั้งในที่แห้งและชุ่มชื้น มักขึ้นอยู่ตามป่าละเมาะ ตามหัวไร่ปลายนา และในบริเวณบ้าน
ชื่อวิทยาศาสตร์ของแค คือ Sesbania grandiflora (L.) Pers. วงศ์ PaPilionaceae เป็นต้นไม้พื้นเมืองของ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ประเภทไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 3-10 เมตร โตเร็วทั้งในที่แห้งและชุ่มชื้น มักขึ้นอยู่ตามป่าละเมาะ ตามหัวไร่ปลายนา และในบริเวณบ้าน
ลักษณะทั่วไป
แคเป็นต้นไม้พื้นบ้าน เป็นต้นไม้เนื้ออ่อน ปลูกได้ในทุกพื้นที่ ทั้งดินเหนียวและดินปนทราย นิยมปลูกเป็นรั้วบ้าน คันนา ริมถนน และในบริเวณบ้าน หรือปลูกไว้เพื่อปรับพื้นที่ให้มีปุ๋ย เพราะใบแคที่ผุแล้ว ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ส่วนที่นำมารับประทานได้ มียอดอ่อน ดอกอ่อน ใบอ่อน และฝักอ่อน ออกในช่วงฤดูฝน ส่วนดอกอ่อนจะออกในช่วงฤดูหนาว ดอกแค 100 กรัม หรือ 1 ขีด ให้พลังงานต่อร่างกาย 10 กิโลแคลอรี มีเส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง และวิตามินซี การรับประทานดอกแคจะทำให้ร่างกายได้เส้นใยอาหาร ดอกแค เมื่อแก่จนกลีบร่วง ก็จะมีฝักอ่อน นำมาทำอาหารได้ เมื่อแก่จะแพร่พันธุ์ด้วยเมล็ด เจริญเติบโตง่าย มีอายุไม่นาน ก็ยืนต้นตาย แพร่พันธุ์ด้วยฝักที่มีเมล็ดแก่จัด การนำดอกแคมาทำอาหารต้องเด็ดเกสรสีเหลืองของดอกแคออกก่อนจะทำให้ไม่มีรสขม แคเป็นต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขามาก มีเปลือกลำต้นขรุขระสีเทา ดอกคล้ายดอกถั่ว ยาว 6-10 ซม. มีทั้งดอกสีขาวและสีแดง ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบเลี้ยงเป็นรูประฆังหรือถ้วย ผลเป็นฝักแบน
ส่วนของแคที่นำมารับประทานนับได้ตั้งแต่ยอด อ่อน ใบอ่อน รสหวาน มัน มีมากในช่วงฤดูฝน นิยมต้มสุกแล้วราดหัวกะทิ รับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริก เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว แคก็ออกดอกอ่อนที่มีรสหวานออกขมเล็กน้อยให้ลิ้มรสและทำเป็นแกงส้ม แต่ต้องเป็นดอกแคสีขาว เพราะไม่มีเส้นใยมากให้ระคายปากเหมือนดอกสีแดง แกงส้มดอกแคที่อร่อยต้องใส่ปลาช่อน เพราะช่วงที่ดอกแคออกดอกจะเป็นช่วงที่ปลาช่อนมีเนื้อหวานมันเป็นพิเศษ พอถึงช่วงปลายฤดูหนาวก็เริ่มเก็บฝักอ่อนมารับประทานกันอีกครั้ง
สรรพคุณทางยา
เปลือกนำมาต้ม คั้นน้ำแก้ท้องร่วง แก้บิด แก้มูกเลือด คุมธาตุ สรรพคุณทางยาของแคคือช่วยแก้ไข้ ลดไข้ นอกจากนี้ยังอุดมด้วยสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ แคจึงช่วยบำรุงสายตาและต้านมะเร็ง อีกทั้งช่วยเสริมสร้างกระดูก เพราะมีแคลเซียมฟอสฟอรัสสูง
ในยอดแคมีสารอาหารมากกว่าดอกแคเสียอีก เพราะยอดแคปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 87 แคลอรี มีเส้นใย 7.8 กรัม แคลเซียม 395 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม เหล็ก 4.1 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 8,654 ไมโครกรัม วิตามินเอ 1,442 ไมโครกรัม วิตามินบี1 0.28 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.33 มิลลิกรัม ไนอาซีน 2.0 มิลลิกรัม วิตามิซี 19 มิลลิกรัม
ดอกแคปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 33 แคลอรี แคลเซียม 2 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 0.51 ไมโครกรัม วิตามินบี1 0.09 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.19 มิลลิกรัม ไนอาซีน 0.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 35 มิลลิกรัม
ยอดอ่อนและใบอ่อนของแคขายกำละ 5 บาท เลือกใบสด ไม่ร่วง ดอกแคมักขายเป็นกองๆ ละ 5 บาทเช่นกัน ให้เลือกดอกตูมที่กำลังจะบาน ก่อนนำไปทำอาหารต้องดึงเอาเกสรออกก่อน จะทำให้มีรสขมน้อยลง สำหรับฝักอ่อนค่อนข้างหาซื้อยาก ต้องปลูกต้นแคไว้ที่บ้านเองจึงจะได้รับประทานกัน
การประกอบอาหาร แกงส้มดอกแคปลาดุก ดอกแคสอดไส้ แกงเหลืองปลากระพงดอกแค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น